Your Cart

ยาปลูกผมไมน็อกซิดิล (Minoxidil)

ยาปลูกผมไมน็อกซิดิล ( Minoxidil )

ไมน็อกซิดิล หรือ Minoxidil เป็นยาที่นำมาใช้ในโรคความดันโลหิตสูง ออกฤทธิ์ด้วยกลไกขยายหลอดเลือดแดงเป็นหลัก ส่งผลให้ความดันโลหิตลดลง นอกจากผลเรื่องลดความดันแล้วยังมีผลเรื่องการงอกของผมอีกด้วย ทำให้ถูกขนานนามว่าเป็น ยาปลูกผม ที่ทางการแพทย์นำมาใช้อย่างแพร่หลายมากกว่า 30 ปีจนถึงยุคปัจจุบัน มีทั้งรูปแบบรับประทานและรูปแบบทาภายนอก

ยา Minoxidil รูปแบบรับประทาน

ยามีขนาด 5 และ 10 มิลลิกรัม การรับประทานยาจะส่งผลแบบทั่วทั้งร่างกาย (Systemic effect)โดยทั่วไปแพทย์จะใช้ยานี้ในการลดความดันโลหิตสูงที่ขนาด 10 mg กรณีนำมารักษาเรื่องผมบาง ขนาดที่แนะนำคือ 1.25-5 มิลลิกรัม โดยผู้หญิงแนะนำขนาดต่ำ 1.25 mg เนื่องจากขนาด ที่ต่ำ จะส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงน้อยกว่าขนาดที่สูง ส่วนผู้ชายที่มีปัญหาผมบางแนะนำใช้ยาขนาด 2.5-5 มิลลิกรัม  

ข้อดีของยารูปแบบรับประทาน

  • การรับประทานจะง่ายกว่าการทายา

  • ออกฤทธิ์กับรากผมทุกเส้นทั้งศีรษะ

  • เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผมบางร่วมกับโรคความดันโลหิตสูง

  • ไม่เสี่ยงต่อการแพ้สัมผัสจากการทายา

ข้อเสียของยารูปแบบรับประทาน

  • มีผลข้างเคียงในบางคน เช่น หน้ามืด ใจสั่น บวม

  • ขนตามใบหน้าและลำตัวหนาขึ้นหากใช้ขนาดสูง

  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิดไม่สามารถใช้ได้

ไมน็อกซิดิล
Minoxidil

ยา Minoxidil รูปแบบทาภายนอก

ยารูปแบบทาที่จำหน่ายในท้องตลาด ประกอบไปด้วย 3%และ5% ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใช้ทาภายนอก ออกฤทธิ์เฉพาะที่ (Local effect) ความถี่ในการใช้ คือ 2 ครั้ง/วัน โดยแต่ละครั้งควรใช้ให้ได้ปริมาณ 1 ซีซี

ข้อดีของยารูปแบบทาภายนอก

  • ออกฤทธิ์เฉพาะบริเวณที่ทา

  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวใช้ได้อย่างปลอดภัย

ข้อเสียของยารูปแบบทาภายนอก

  • การออกฤทธิ์ไม่แน่นอนขึ้นกับการตอบสนองแต่ละบุคคล

  • มีโอกาสแพ้สัมผัสสูง เกิดจากการแพ้ตัวทำละลาย

  • หากใช้ไม่สม่ำเสมอ ประสิทธิภาพการรักษาจะลดลง

  • ความร่วมมือในการใช้ (Compliance) น้อยกว่ารูปแบบรับประทาน

ยา Minoxidil รักษาผมร่วง ผมบางได้อย่างไร?

รูปแบบที่ออกฤทธิ์เรียกว่า minoxidil sulphate ออกฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นผมผ่านกลไก การขยายหลอดเลือดบริเวณหนังศีรษะทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตที่รากผมดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยยืดอายุรากผมระยะ Anagen phase ให้มีอายุขัยยาวนานขึ้น ส่งผลให้ผมร่วงลดลง และเส้นผมหนาขึ้นอีกด้วย ดังนั้นทางการแพทย์จึงนำมาใช้รักษาภาวะผมร่วงผมบางนั่นเอง

ยา Minoxidil กับการรักษาผมบางกรรมพันธุ์

โดยทั่วไปแล้ว ยาหลักที่ใช้รักษาโรคผมบางกรรมพันธุ์ในเพศชาย (Male androgenic alopecia)  คือ ยา Finasteride 1 mg ซึ่งออกฤทธิ์ลดการทำงานของฮอร์โมน DHT บริเวณหนังศีรษะ โดยปัจจุบันมีงานวิจัยจำนวนมากที่สนับสนุนว่า ผู้ที่มีปัญหาผมบางกรรมพันธุ์ที่ใช้ยา Finasteride 1 mg ร่วมกับยาไมนอกซิดิลไม่ว่าจะเป็นรูปแบบรับประทานหรือทา จะช่วยเสริมประสิทธิภาพการรักษาให้สูงกว่าการรับประทานยา Finasteride เพียงตัวเดียว

ใครบ้างที่เหมาะกับการใช้ Minoxidil ?

  • โรคผมบางกรรมพันธุ์เพศชาย (Male androgenic alopecia)

  • โรคผมบางกลางแสกในเพศหญิง(Female pattern hair loss)

  • โรคผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia areata)

  • ภาวะผมร่วง (Telogen efflivium)

  • ผู้ที่ต้องการชะลอความเสื่อมของเส้นผม (Aging hair loss)

  • โรคผมร่วงชนิดอื่นๆ 

  • หลังปลูกผมถาวร 

รวมคำถามเกี่ยวกับ Minoxidil

ทำไมใช้แล้วผมร่วงมากขึ้น?

ในช่วงแรกของการเริ่มใช้ยา เส้นผมที่กำลังอยู่ในระยะหลุดร่วง Telogen phase จะถูกรากผมใหม่ดันให้หลุดร่วงออกมา ดังนั้นช่วงแรกของการใช้ยาจะมีผมร่วงผิดปกติเฉลี่ยวันละมากกว่า 200 เส้น เป็นระยะเวลา 6-8 สัปดาห์ หากใช้ยาอย่างต่อเนื่องรากผมชุดที่แข็งแรงจะงอกมาแทนที่ 

วงจรเส้นผม

ต้องใช้ยาไปนานแค่ไหนจึงเห็นผลลัพธ์

โดยปกติรากผมมนุษย์ จะยาวเฉลี่ยเดือนละ 1 เซนติเมตร ดังนั้นการใช้จึงต้องรอผลอย่างน้อย 6 เดือนจึงจะเห็นรากผมยาวให้เห็นด้วยตาเปล่า และเห็นผลลัพธ์การรักษาเต็มที่ ที่1  ปีหลังใช้ยาอย่างต่อเนื่อง 

ข้อห้ามในการใช้ยารูปแบบรับประทาน

  • โรคประจำตัวเกี่ยวกับโรคหัวใจ เช่นโรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจวาย โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ

  • ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำ

  • หญิงตั้งครรภ์ 

อาการแพ้ยา

  • รูปแบบรับประทาน : ผื่นตามลำตัว แน่นหน้าอก ปากบวม

  • รูปแบบทาภายนอก : คัน รังแค หนังศีรษะลอก มีผื่นน้ำเหลืองไหล

หากมีอาการแพ้สัมผัสยารูปแบบทา ต้องทำอย่างไร

            การแพ้สัมผัสยารูปแบบทานั้นส่วนใหญ่มักเกิดจากการแพ้สารทำละลายที่ชื่อว่า propylene glycol ซึ่งเป็นตัวทำละลายที่ใช้ละลาย ให้กลายเป็นของเหลว สาร propylene glycol มักเป็นสารที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ได้ในบางคน โดยเฉพาะในคนที่มีปัญหาผิวหนังแพ้ง่ายเช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนัง(Atopic dermatitis) และคนที่มีปัญหาโรคผิวหนังอักเสบเซ็บเดิร์มบริเวณหนังศีรษะ (Seborrheic dermatitis)

             กรณีใช้รูปแบบทา แล้วมีอาการแพ้ คันเป็นขุยรังแค หรือมีความเสี่ยงแพ้ง่าย ควรเปลี่ยนเป็นยาที่ไม่มีสาร propylene glycol ผสมอยู่ ซึ่งหาได้ค่อนข้างยากตามท้องตลาดเพราะสูตรที่ไม่ผสม propylene glycol จะมีขั้นตอนในการผลิตที่ยากกว่าและต้นทุนในการผลิตจะค่อนข้างสูง คลินิกเวชกรรมเกศาตระหนักถึงปัญหาข้อนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นสูตรของทางคลินิกจึงไม่มีสาร propylene glycol ผสมอยู่ ทำให้คนไข้ลดโอกาสการแพ้สัมผัสได้

           กรณีที่ใช้รูปแบบที่ไม่ผสม propylene glycol แล้วก็ยังแพ้ แสดงว่าอาจแพ้ตัวทำละลายอื่นๆเช่น แพ้แอลกอฮอล์ เป็นต้น กรณีนี้หมอแนะนำให้หยุดใช้ แล้วเปลี่ยนไปใช้ยากระตุ้นรากผมรูปแบบรับประทานแทน เช่นรูปแบบเม็ด จะช่วยลดการแพ้สัมผัสได้

ศึกษาบทความเพิ่มเติม : ทาMinoxidil แล้วแพ้ทำไงดี

ผลข้างเคียงยารูปแบบรับประทาน

ผลข้างเคียงจากการใช้ยารูปแบบรับประทานจะขึ้นกับขนาดที่ใช้ กล่าวคือ ยิ่งขนาดที่สูงจะมีโอกาสทำให้เกิดผลข้างเคียงได้มากกว่าขนาดต่ำ

  • ขนตามลำตัวและใบหน้าหนาขึ้น

  • แน่นหน้าอก

  • อาการบวมจากการคั่งของน้ำและเกลือ

  • ความดันโลหิตต่ำ

  • หัวใจเต้นเร็ว

ยามีผลทำให้สมรรถภาพทางเพศเสื่อมหรือไม่?

ทั้งรูปแบบรับประทานและรูปแบบทาภายนอก ไม่มีผลต่อเรื่องสมรรถภาพทางเพศ และไม่มีผลต่อปริมาณคุณภาพของอสุจิ ดังนั้นผู้ชายที่ใช้ อยู่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ ไม่ต้องหยุดยา

ต้องใช้ยาไปนานแค่ไหน?

กรณีผู้ที่มีปัญหาผมบางกรรมพันธุ์ทั้งชายและหญิง ถือเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้นหากคนไข้ต้องการรักษารากผมให้แข็งแรงไปตลอด ไม่ให้ถูกทำลายจากอิทธิพลของกรรมพันธุ์และฮอร์โมนจนล้านในที่สุด แพทย์แนะนำรักษาต่อเนื่องระยะยาว ส่วนกรณีผมร่วงประเภทอื่นๆ แนะนำปรึกษาคุณหมอที่ทำการรักษาเพื่อประเมินระยะเวลาที่เหมาะสมในการใช้ 

รับประทานยานานๆอันตรายหรือไม่?

กรณีไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นข้อห้าม สามารถใช้ได้ในระยะยาวโดยยาขนาดต่ำ1.25-5 mg ถือว่าเป็นยาที่ปลอดภัย ผลข้างเคียงต่ำ สามารถรับประทานได้ระยะยาว แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น

หากหยุดยาผมจะบางลงกว่าเดิมจริงหรือไม่?

กรณีใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน รากผมที่ควรหลุดร่วงจะมีการถูกชะลอให้ไม่ร่วง ดังนั้นการหยุดใช้ยาทันที จะทำให้รากผมที่เกิดจากยา กลับมาหลุดร่วงตามธรรมชาติแบบที่ควรจะเป็น ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้หยุดใช้ยาทันที ควรค่อยๆลดยาทีละนิด เพื่อให้รากผมได้ปรับตัว กรณีมีความจำเป็นต้องหยุดยาทันที เส้นผมจะผลัดประมาณ  6 สัปดาห์หลังจากนั้นจะเข้าสู่วงจรผมตามธรรมชาติของบุคคลนั้น

บทสรุปยา Minoxidil

เป็นยาที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถกระตุ้นการงอกของเส้นผมได้จริง โดยมีทั้งรูปแบบรับประทานและทาภายนอก การใช้ยาให้ได้ประสิทธิภาพสุงสุดคือต้องใช้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ผลข้างเคียงมีโอกาสเกิดได้ตามขนาดของยา เพื่อความปลอดภัยก่อนเริ่มใช้ยาควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

Picture of พญ.ญาดา สุวรรณสิงห์

พญ.ญาดา สุวรรณสิงห์

Fellow member of World FUE Institute (WFI),Full member of The Asian Association Of Hair Restoration Surgeons (AAHRS),Member of FUE ASIA

ทีมแพทย์เกศา

ปรึกษาแพทย์เรื่องการใช้ยา

Kesa clinic สาขาขอนแก่น              

Facebook messenger 

Line